Popular Posts

Tuesday, February 26, 2013

รถยนต์ที่เเพงที่สุดในโลก

รถยนต์ที่เเพงที่สุดในโลก



อันดับ 10 Jarguar XJ

 ราคาจิ๊บๆ สำหรับเศรษฐี เริ่มต้นที่ตัวเลข 12.2 ล้านบาท สำหรับ ยานยนต์สัญชาติอังกฤษคันนี้ ที่พกความหรูหรามาแบบเต็มคราบ กับความงามที่ยากจะหาใครเทียบเคียง แม้จะงานขนาดนี้แต่ก็แรงใช่เล่นกับ เครื่องยนต์ V8 ขนาด 5.0 ลิตร ให้กำลัง 385 แรงม้า จับคู่ระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด

 อันดับที่ 9 Lexus LS 460

 ขยับขึ้นมาเป็นค่ายพรีเมี่ยมแบรนด์จากรถยนต์คนไทยชอบ นำเสนอรถยนต์ Lexus 460 มาให้เราได้สัมผัสกัน ในเส้นสายความปราณีตที่หาที่สุดไม่ได้ไฟหน้ามาพร้อมไฟแบบ LED 8 ดวง ใต้ฝากระโปรง เน้นหนักในเรื่องของความแรงแบบเปี่ยมสมรรถนะจากเครื่องยนต์ V8 4.6 ลิตรให้กำลังสูงสุด 380 แรงม้า เร่ง 0-100 ก.ม./ ช.ม. ทันใจเพียง 5.7 วินาที ส่วนเรื่องความหรูหายห่วงเพราะนี่เป็นรุ่นใหญ่ของค่าย เคาะราคาขายแค่ 12.8 ล้านบาท

 อันดับที่ 8 Porsche 911 Carrera S

 จากหรูมาดูสปอร์ตกันบ้างกับค่ายรถยนต์ชั้นนำ อีกหนึ่งที่มาพร้อมการนำสเนอสมรรถนะระดับซุปเปอร์ ที่สามารถใช้งานได้ทุกวัน กับเอกลักษณ์ หน้ากบของค่ายรถยนต์ Porsche ที่จัดการยกเครื่องตั้งแต่โครงสร้างอลูมิเนียมใหม่ ให้เบาหวิวบวกระยะฐานล้อเพิ่มขึ้นอีก 100 ม.ม. และยังลู่ลมด้วยค่าสัมประสิทธิเสียดทานเพียง 0.29 Cd แต่ที่ขับสนุกจริงเป็นเครื่องยนต์แบบ Flat 6 3.8 ลิตร ให้กำลัง 400 แรงม้า เร่งสะใจ 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน เวลาเพียง 3.9 วินาที ส่วนราคาก็แรงพอกับความเร็ว จัดไป 16 ล้านบาทเท่านั้น

 อันดับที่ 7 Bentley Continental GT



ชื่อนี้เรียกว่าทั้งหรูและแรง สำหรับรถยนต์ Bentley รถจากแดนผู้ดีที่ระห่ำได้ใจจากเวอร์ชั่นหรู สู่เวอร์ชั่นทั้งหรูและแรงกว่าทั่วไป พกเครื่องยนต์ V8 ให้กำลัง 500 แรงม้า พร้อมทะยานความหรูแบบสะใจ จนซุปเปอร์คาร์ต้องเหลียวหลังกับตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ใน 5 วินาทีกว่า ความเร็วปลายก็ทำได้ดีไม่แพ้กันถ้ากล้าเหยีบก็ทำได้ 290 ก.ม./ช.ม. แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้คุณต้องจ่ายราคา 18.9 ล้านบาทเป็นค่าตัว


อันดับที่ 6 Lamborghini Gallardo LP560- Spider

 เจ้ากระทิงดุค่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์เป็นที่รู้จักกันดีเริ่มต้นด้วยอันดับ6 ในการรับลมชมวิวแบบสปอร์ตพันธุ์แท้ในสไตล์ Spyder ที่คัดสรรวัสดุเกรดดี เรียกว่าไม่ต้องบรรยายสรรพคุณความแรง ส่วนเจ้าตัวนี้ทำความเร็วสูงสุดได้ 325 ก.ม./ช.ม. มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ พร้อมพลัง 560 แรงม้า แต่ราคาก็แรงตามรถ เคาะขายที่ 23.5 ล้านบาท

 อันดับที่ 5 Lamborghini Gallardo LP 570-4 Superleggera



กระทิงดุอีกคันจากงานมอเตอร์โชว์ 2012 ที่ค่ายรถยนต์เจ้านี้ภูมิใจนำเสนอความแรงเต็มพิกัด กับ 570 แรงม้า ที่ฟังดูไม่ต่างจากอันดับที่ 6 ของเรา แต่ มันเจ๋งกว่า เมื่อคุณรู้ว่าพลังทั้งหมดของมันแบกน้ำหนักเพียง 1340 ก.ก. ทำตัวเลข 0-100 ก.ม./ช.ม. ในเวลาเพียง 3.4 วินาที แต่ราคาก็อัพไปอีก ถ้าอยากได้หยอดกระปุกเอาไว้ให้ได้ 25.5 ล้านบาทแล้วมาว่ากันอีกที



อันดับที่ 4 Rolls-Royce Ghost Extended Wheelbase



ในที่สุดมันก็มาโผล่ที่ไทย สำหรับค่ายถยนต์พันธุ์หรูตัวจริงเสียงจริงในนาม Rolls-Royceแม้แต่เศรษฐีกระเป๋าตุง อาเสี่ยกระเป๋าหนักยังมีร้องจ้าก!! เมื่อเจอราคา โดยในรุ่นนี้ที่ภูมิใจนำเสนอ มันมาพร้อมเครื่องยนต์แบบ V12 ขนาด 6.6 ลิตร ปั่นฝีเท้าด้วยเทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 563 แรงม้า และขับสนุกด้วยเกียร์อัตโนมัติ ZF 8สปีด เคาะราคาจนตัวคุณเบาหวิวเมื่อควักเงินจ่ายที่ 27.9 ล้านบาท



อันดับที่ 3 Bentley Mulsanne 2012



อีกคันจากค่ายรถยนต์ Bentley ให้ความหรูหราระดับที่คุณต้องประทับใจ แต่ความประทับใจนี้ต้องใช้เงินถึง 33.6 ล้านบาท จึงจะได้สัมผัส พระราชวังที่สามารถเคลื่อนที่ได้ ประณีตสุดๆในการออกแบบ และการเลือกวัสดุชั้นดี โดยทั้งหมดไม่ได้เน้นเรื่องแรงมาก แต่ก็จัดขุมพลัง V8 6.8 ลิตร ให้กำลัง 505 แรงม้า พร้อมอภิมหาแรงบิด 1,020 นิวตันเมตร และแม้รถคันนี้ จะหรูหราแต่ความเร็วปลายก็ยังซิ่งได้ถึง 296 ก.ม./ช.ม.


อันดับที่ 2 Lamborghini Aventador LP700-4


เป็นที่ฮากันทั้งโลกไซเบอร์กับชื่อรถคันนี้ ที่มีฝรั่ง แกะคำของค่ายกระทิงดุว่า A Vent และ A door กลายมาเป็นชื่อของรถคันนี้ จริงๆนั่นก็เป็นมุกตลกขำๆ แต่จะไม่ขำ ถ้าคุณจะซื้อรถคันนี้ที่มีราคาค่าตัวกว่า 36.5 ล้านบาท แรงสั่งได้จากเครื่องยนต์ V12 6.5 ลิตร 700 แรงม้า ขับสนุกด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เร่งแรงถึงใจ 0-100 ก.ม. ใน 2.9 วินาที และทำความเร็วสุงสุด 350 ก.ม./ช.ม.


อันดับที่ 1 Rolls-Royce Phatom Drophead Coupe



รถหรูสำหรับท่านผู้นำก็ต้องคันนี้ ที่ไม่รู้ท่านผู้นำเราได้ไปเหมามาเข้าคอลเลคชั่นหรูรึปล่า แต่รถคันนี้คือที่สุดแห่งที่สุดความหรู และแพงในงานมอเตอร์โชว์ 2012 ด้วยราคา 37.9 ล้านบาท มาในแบบรถคูเป้อาจดูเหมือนสปอร์ต แต่ที่นั่งแบบ 2 +2 มาพร้อม 4ประตู ที่ใต้ฝากระโปรงพกเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.75 ลิตร ตอบสนองกำลังสูงสุด 453 แรงม้า ให้แรงบิด 720 นิวตันเมตร เร่ง 0-100 ใน 6 วินาที ฟังดูมันอาจจะไม่แรงนัก แต่ถ้าเรื่องหรู คงต้องยกให้ไปเลย

Honda Jazz Hybrid ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน

Honda Jazz Hybrid ประหยัดพลังงานลดโลกร้อน


ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว สำหรับรถยนต์ "ฮอนด้า แจ๊ส ไฮบริด" (Honda Jazz Hybrid) หลังจากที่ปล่อยให้คนที่กำลังมองหารถที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องของการประหยัดน้ำมันต้องรอคอยมานาน โดยมาพร้อมกับดีไซน์ที่ทันสมัยเข้ากับชีวิตของคนยุคใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งผลิตออกมาเพียงรุ่นเดียว ในราคาเปิดตัวที่ 768,000 บาท

Honda Jazz Hybrid

          โดยเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัว "Jazz Hybrid" IMA รุ่นแรกของกลุ่มซับคอมแพคท์ในประเทศไทย ที่มาพร้อมกับรูปลักษณ์อันโฉบเฉี่ยว โดดเด่นอย่างมีสไตล์ ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีขาวบริลเลียนท์ สีเงินอลาบาสเตอร์ สีเขียวเฟรชไลม์ และสีฟ้าเซรูเลียน
Honda Jazz Hybrid


          สำหรับ Honda Jazz Hybrid รุ่นใหม่นี้ นับว่าเป็นรถยนต์ซิตี้คาร์ไฮบริดรุ่นแรกของโลก และเป็นเครื่องยนต์เบนซินไฟฟ้าที่เล็กที่สุดของ Honda โดยมีขุมพลังเป็นเครื่องยนต์เบนซิน 1.3 ลิตร i-vtec และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 10 กิโลวัตต์ และขับเคลื่อนด้วยระบบเกียร์ CVT สามารถทำความเร็วจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ภายในเวลา 12.6 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุดที่ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง

          ในส่วนของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 4.5 ลิตร/100 กิโลเมตร ตามมาตรฐานยุโรป เช่นเดียวกับตัวเลขของรุ่น Insight แต่ Jazz Hybrid มีอัตราการปล่อยมลพิษ 104 กรัม/กิโลเมตร ซึ่งสูงกว่าของ Insight เพียงเล็กน้อย

Honda Jazz Hybrid

          นอกจากเรื่องของเครื่องยนต์แล้ว สิ่งที่ทำให้ให้ Jazz Hybrid ต่างจาก Honda Jazz รุ่นอื่น ๆ อยู่ที่การปรับแต่งเรื่องของดีไซน์ตัวรถที่เพิ่มความทันสมัยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าโครเมี่ยม ไฟท้าย และกันชนหน้า-หลัง เป็นต้น


         
          ทั้งนี้ ตามรายงานระบุว่าราคาเปิดตัวของ Jazz Hybrid รุ่นนี้ คาดว่าอยู่ที่ประมาณ 768,000 บาท ซึ่งน่าจะถูกใจคนที่กำลังมองหารถใหม่อยู่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี ทางบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด คงจะมีการประกาศราคาที่แน่นอนออกมาให้ทราบกันในเร็ว ๆ นี้ ยังไงก็ลองติดตามข่าวกันต่อไปนะครับ

ข่าวจาก kapook.com คลิปจาก youtube

Mercedes-Benz SLS AMG ราคา

Mercedes-Benz SLS AMG ราคา

สุดยอดมากมายเลยครับ รถคันนี้ ค่าเเรงขยับมาเป็น 300 ก็ยังไม่มีปัญญาเลยพี่น้อง


   สำหรับแฟนๆ ของ Mercedes-Benz SLS AMG ที่กำลังมองหาความเร้าใจที่เหนือระดับจากรุ่นปกติ ในตอนนี้ค่ายดาว 3 แฉกตอบรับความต้องการนี้แล้ว ด้วยรุ่นพิเศษ Black Edition ซึ่งเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้กับรูปลักษณ์ภายนอกของสปอร์ต Gullwings เช่นเดียวกับความจัดจ้านของขุมพลังที่มากขึ้น


      
       คนที่เป็นแฟนเบนซ์คงคุ้นชื่อกับ Black Edition เป็นอย่างดี เพราะรุ่นนี้ถูกผลิตออกขายกับรถสปอร์ตหลายรุ่นของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ไม่ว่าจะเป็น SL หรือ CLK และเมื่อนับดูแล้ว SLS AMG เป็นรถสปอร์ตรุ่นที่ 5 ที่ได้สวมโลโก้ของเวอร์ชันนี้



       ความแปลกและแตกต่างจากรุ่นปกติของ SLS AMG สัมผัสได้รอบคัน ตั้งแต่รูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการตกแต่งเพิ่มความสปอร์ตมาจากตัวแข่ง GT3 อีกทั้งยังมีการลดความสูงเพื่อความดุดัน และการทรงตัวที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสปอยเลอร์หลังขนาดใหญ่แบบยึดติดตายตัว
      
       ตัวรถเบาขึ้นจากรุ่นปกติ 70 กิโลกรัม อันเป็นผลมาจากการใช้วัสดุที่น้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์หรือไทเทเนียม ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังตามจุดต่างๆ อาทิ การนำไทเทเนียมมาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนในระบบแชสซีส์ สามารถลดน้ำหนักได้ 17 กิโลกรัม เช่นเดียวกับการใช้แบตเตอรี่แบบใหม่ ลิเธียม-ไออน ก็สามารถลดน้ำหนักได้อีกถึง 7.9 กิโลกรัม เมื่อเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่แบบเดิมๆ เป็นต้น



       ขณะที่ความสูงของตัวรถลดลงจากเดิม และมีการเพิ่มความกว้างของล้อหน้าและหลัง โดยด้านหน้าเพิ่มขึ้น 20 มิลลิเมตร และด้านหลัง 23 มิลลิเมตร พร้อมกับเหล็กกันโคลงขนาดใหญ่ เพื่อช่วยเพิ่มความทนทานต่อการบิดตัวประมาณ 50% และ 42% ตามลำดับ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัวมากขึ้นจากของเดิมอีกด้วย


      
       สำหรับสมรรถนะเครื่องยนต์วี8 ขนาด 6200 ซีซี มีกำลังเพิ่มขึ้น 39 แรงม้า เป็น 631 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นอีก 1.5 กก.-ม. เป็น 64.6 กก.-ม. ขณะที่รอบเครื่องยนต์ที่แรงม้าสูงสุดขยับขึ้นจาก 7,200 รอบ/นาที มาเป็น 8,000 รอบ/นาที ด้วยการปรับเปลี่ยนหลายจุดของเครื่องยนต์ เช่น แคมชาฟต์-กระเดื่องกดวาล์ว, ECU, ท่อไอดี และเมื่อบวกกับน้ำหนักตัวที่ลดลงทำให้ม้า 1 ตัวในรุ่น Black Series แบกน้ำหนักน้อยลงมาอยู่ที่ 2.5 กิโลกรัมเท่านั้น ส่งผลทำให้อัตราเร่งดีขึ้น ประมาณ 0.1 วินาที มาอยู่ที่ 3.6 วินาที

ที่มา http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9550000138074

BMW Z4 สเปคราคาอย่างเทพ

BMW Z4  สเปคราคาอย่างเทพ

ไม่รู้ว่าชาตินี้จะมีซักคันหรือเปล่า อย่างสวยอะพี่น้อง รูปทรงไม่ธรรมดาเลยจริงๆ สงสัยราคาก็ไม่ธรรมดาด้วย


  ในฐานะที่อยู่ในตลาดมานานที่สุดในบรรดาโรดสเตอร์ระดับหรูที่มีอยู่ในตอนนี้ (ไม่นับออดี้ TT ที่ข่าวคราวเงียบมานาน) ถึงตอนนี้บีเอ็มดับเบิลยูจัดการขยับตัวเพื่อรับมือกับคู่ปรับในตลาด ด้วยการจับ Z4 มาปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ เพิ่มความสดใหม่ให้กับรูปลักษณ์ พร้อมขยายทางเลือกใหม่ในรุ่น Entry Level


      
       นอกจากจะเป็นการปรับโฉมตามอายุตลาดเพราะ Z4 เปิดตัวขายมาตั้งแต่ปี 2009 แล้ว ยังถือเป็นการขยับตัวเพื่อรับมือกับคู่ปรับอย่างเมอร์เซเดส-เบนซ์ SLK ใหม่ ไล่ไปจนถึงปอร์เช่ บ็อกสเตอร์ และจากัวร์ F-Type โดยตัวไมเนอร์เชนจ์ของ Z4 มาพร้อมกับหน้าตาที่สดใหม่ขึ้นจากการเปลี่ยนกันชนหน้า และขยายกระจังหน้าใหม่ให้ใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับด้านท้ายที่มีการเปลี่ยนลวดลายบนชุดไฟท้าย โดยหันมาใช้หลอด LED ตามสมัยนิยม



       สำหรับหลังคาแข็งแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้าก็ยังมีให้เหมือนเดิม โดยจะทำงานผ่านทางการกดปุ่มในห้องโดยสาร ซึ่งจะกางออกหรือพับเก็บได้โดยใช้เวลาเพียง 19 วินาที และสามารถทำได้ในขณะที่รถกำลังแล่น แต่ความเร็วต้องไม่เกิน 40 กิโลเมตร/ชั่วโมง
      
       นอกจากหน้าตาแล้ว ในส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์ก็มีการปรับปรุงเพราะเพิ่มรุ่นย่อย 1.8i เข้ามา ซึ่งแม้ว่าจะใช้เครื่องยนต์ 2,000 ซีซี เทอร์โบ แบบเดียวกับรุ่น 2.0i แต่ทว่าก็ลดทอนความเร้าใจด้วยตัวเลขแรงม้าเพียง 156 ตัวเท่านั้น ขณะที่แรงบิดอยู่ที่ 24.4 กก.-ม. ใช้เวลา 7.9 วินาทีในการทำอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลาย 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ขณะที่รุ่น 2.0i มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 27.5 กก.-ม.



       นอกจากนั้นในกลุ่มของเครื่องยนต์ 4 สูบยังมีอีกรุ่นให้เลือก คือ 2.8i ซึ่งก็ใช้เครื่องยนต์บล็อกเดียวกัน แต่ปรับบูสต์ เค้นกำลังเพิ่มขึ้นจนมีตัวเลขอยู่ที่ 245 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.6 กก.-ม. ใช้เวลา 5.5 วินาที สำหรับอัตราเร่งจนถึงย่าน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วปลายถูกล็อกเอาไว้ที่ 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
      
       ถ้าอยากขยับขึ้นสูงกับเครื่องยนต์ซีซีเยอะ ลูกสูบแยะ ก็สัมผัสได้กับ 2 ทางเลือกของรุ่น 6 สูบเรียง ซึ่งใช้ขุมพลัง 3,000 ซีซี เทอร์โบคู่ โดยในรุ่น 3.5i มีกำลังอยู่ที่ 306 แรงม้า และรุ่น is ม้าขยับขึ้นอีก 34 ตัว โดยแลกกับอัตราเร่งที่ต่างกันเพียง 0.3 วินาที ซึ่งในรุ่น 3.5i อยู่ที่ 5.1 วินาที และ 3.5is อยู่ที่ 4.8 วินาที

       สำหรับเกียร์มีให้เลือกทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 8 จังหวะ ยกเว้นรุ่น 3.5is เป็นแบบเดียว DCT 7 จังหวะ Double Clutch โดยรุ่นเกียร์ธรรมดามีขายเฉพาะรุ่น 1.8i, 2.8i และ 3.5i


      
       อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเผยโฉมออกมาให้เห็นจริงแล้ว แต่การส่งมอบรถให้กับลูกค้าจะเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2013 ซึ่งราคาของ Z4 ตัวปรับโฉมในอังกฤษตั้งเอาไว้ที่ 27,610-45,795 ปอนด์ หรือราวๆ 1.38-2.28 ล้านบาท

ที่มา ภาพเเละเนื้อหา http://www.manager.co.th/Motoring/ViewNews.aspx?NewsID=9560000000736
คลิปจาก youtube

รถมือสองเค้าตีราคากันยังไง

รถมือสองเค้าตีราคากันยังไง


   อาชีพซื้อขายรถยนต์มือสองหรือรถใช้แล้ว ก็เหมือนกับอาชีพ “พ่อค้า” อื่นๆ ไม่ว่าจะซื้อขายสินค้าไหน ก็จะทำแบบเดียวกัน คือ “ซื้อมาให้ถูกที่สุดแล้วขายต่อให้มีกำไร” แต่ถ้าเป็นรถยนต์คงต้องคิดมากกว่านั้น เพราะทั้งราคาและรุ่นรถที่มีหลากหลาย รวมไปถึงสภาพ ซึ่งทำให้การตีราคาและกำหนดราคากันยาก เพราะฉะนั้น Used Car Solution ฉบับนี้ จะมาให้ความรู้กับท่านผู้อ่านว่า ในตลาดเต็นท์รถเขาตีราคากันอย่างไร?


      
       ก่อนอื่น ขอแยกประเภทรถก่อน ว่าในตลาดปัจจุบันมีอะไรกันบ้าง โดยคร่าวๆ ก็จะมีรถคอมแพกต์ ซิตี้คาร์ เก๋งเล็ก กลาง กลางใหญ่ และรถหรูผู้บริหาร และพวกกระบะช่วงยาวบรรทุก แค็บ, 4 ประตู แวน และรถครอบครัว อเนกประสงค์หรือรถแวน รถ MPV
      
       ส่วนการกำหนดว่าราคาซื้อขายจะเท่าไร ขอให้มองความนิยมของรถรุ่นนั้นก่อนว่ามากน้อย ขนาดไหน เป็นที่นิยมของตลาดมากหรือไม่ รถที่นิยมก็ย่อมซื้อมาแล้วขายได้ง่าย ได้เร็ว จึงได้ราคาดีกว่า โดยการคำนวณมีสูตรดังต่อไปนี้
      
       ยกตัวอย่าง รถหลุดป้ายแดง สมมติ ป้ายแดงราคา 1 ล้าน ค่าเสื่อม 25% ก็จะเหลือ 750,000 Vat 7% ประมาณ 52,500 บาท รวมก็ 825,000 บาท เต็นท์ก็จะเอากำไร 10% โดยจะตั้งราคาขาย 900,000
      
       ถ้ารถมีความต้องการสูง ราคานี้ก็น่าจะมีคนสนใจ อาจต่อรองได้บ้าง ขาดทุนกำไรกันไป แต่ถ้าคุณจะซื้อที่ 8 แสนบาท เพราะไม่น่าใช้ ดังนั้นทางเต็นท์ก็ต้องซื้อให้ต่ำลง เหลือ 650,000 บวก Vat บวกกำไรไป ก็น่าจะได้ แต่เจ้าของรถที่ไหนจะยอมขายล่ะ ไม่แปลกที่ทางเต็นท์ก็ต้องมีวิธีเจรจาต่อรองพลิกแพลงกันไป อย่างไรก็ดี นี่เป็นตัวเลขสมมติครับ ยังดิ้นไปได้อีกหลายรูปแบบ
      
       ส่วนสูตรการคิดค่าเสื่อมราคาคร่าวๆ เต็นท์ทั้งหลายจะมีหลักประมาณนี้ อาทิ รถคอมแพกต์ แนวตลาดเลย เช่น ยาริส แจ๊ซ วีออส มาสด้า 2 และซิตี้ ค่าเสื่อมน่าจะอยู่ที่ 20-25% จากราคาป้ายแดง, รถกลางเล็ก เช่น ซีวิค อัลติส น่าจะอยู่ที่ 25-30%, รถกลางใหญ่ เช่น แอคคอร์ด คัมรี่ น่าจะอยู่ที่ 30-35% ส่วนรถไม่ตลาดจ๋า เช่น นิสสัน มิตซูฯ มาสด้า ฟอร์ด ให้ลดเพิ่มอีก 5-10% จากรถตลาดจ๋าค่าเสื่อมราคาจะลดลงไปตามอายุ เพิ่มอีกปีก็ลดไปอีก 5-10% ไปเรื่อยๆ จน...รุ่นนั้น มีโฉมใหม่เกิดขึ้นมา หรือ Model Change จึงจะมีการปรับราคากันอีกครั้ง ตามแต่ว่ารุ่นใหม่มีกระแสความนิยมดีหรือไม่
      
       แต่ก็ยังมีคนสงสัยว่า “ทำไมค่าเสื่อมถึงไม่เท่ากันล่ะ?” อันนี้ต้องทำความเข้าใจเรื่องต้นทุนของเงินครับ เพราะพ่อค้ารถ ส่วนใหญ่กู้เงินมาทำธุรกิจครับ ก็ร้อยละ 2 หรือ 3 ต่อเดือน บางทีโชคดีก็เจอถูกกว่านี้ รถที่ขายดี ขายเร็ว ดอกเบี้ยก็เสียน้อย ต้นทุนก็เลยนิ่ง ซื้อมา 4 แสน ขาย450,000 คำนวณง่ายมีกำไรก็ขายกันไป
      
       แต่ถ้ารถที่จอดนาน ดอกเบี้ยก็กินนาน ต้นทุนก็สูงขึ้นตาม ซื้อ 4 แสน จอด 3 เดือน ดอกเดือนละ 8,000 สามเดือนก็ 24,000 ทุนเป็น 424,000 ขาย 450,000 อูยไม่พอค่าใช้จ่าย ทำไง ขายแพงก็ไม่มีคนซื้อ คราวหลังซื้อรุ่นนี้ ถูกลงอีกดีกว่า นี่คือเหตุผลว่าทำไมรถดี รถตลาดจึงราคาไม่ตกครับ
      
       ฉบับต่อไปจะมาว่ากันถึง รถดีในสายตาพ่อค้ารถมือสองเป็นอย่างไร อย่าพลาดนะครับ
      
      สอง ท่าพระอาทิตย์  ผู้จัดการ

ปัญหาเรื่องระบบไฟรถยนต์

ปัญหาเรื่องระบบไฟรถยนต์


ระบบจุดระเบิดในรถของคุณมีการทำงานที่สมบูรณ์แบบ เชื้อเพลิงจะลุกไหม้ตรงตามเวลาที่เหมาะสมเพื่อให้ก๊าซขยายตัวสามารถทำแรงอัดสูงสุดของการทำงาน ถ้าไฟระบบจุดระเบิดที่ผิดเวลา, ไฟฟ้าจะลดลงและการบริโภคเชื้อเพลิงและการปล่อยก๊าซจะเพิ่มมากขึ้น

เมื่อเชื้อเพลิงผสมอากาศ / ในเผาไหม้ในกระบอกสูบ, อุณหภูมิสูงขึ้นและเชื้อเพลิงจะถูกแปลงเป็นไอเสีย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดความดันในกระบอกสูบไปยังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและดันลูกสูบลง

เพื่อที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด แรงบิดและพลังจากเครื่องยนต์เป้าหมายก็คือเพื่อเพิ่มปริมาตรแรงดันในช่วงจังหวะไฟ การเพิ่มความดันก็จะผลิตเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ระยะเวลาของการจุดระเบิดจึงมีความสำคัญ

ดังนั้นเมื่อเรากำลังพูดถึงการทำงาน, กระบอกสูบ = ความดันพื้นที่ลูกสูบ * * ความยาวสโตรค และเนื่องจากความยาวของจังหวะและขอบเขตเคลื่อนที่ของลูกสูบได้รับการแก้ไข, วิธีเดียวที่จะสามารถเพิ่มการทำงาน คือการเพิ่มความดัน

หัวเทียน

หัวเทียนอยู่ใจกลางของสี่วาล์วในแต่ละกระบอกสูบ

หัวเทียนค่อนข้างง่ายในทฤษฎี : เป็นกำลังไฟฟ้าให้กับอาร์คในช่องว่างเช่นเดียวกับของสายฟ้า ฟ้าผ่า . ไฟฟ้าจะต้องมีแรงดันที่สูงมากเพื่อที่จะเดินทางข้ามช่องว่างและสร้างจุดระเบิดที่ดี แรงดันที่หัวเทียนได้จากทุกที่ 40,000 ถึง 100,000 โวลต์

หัวเทียนจะต้องมีทางผ่านที่หุ้มฉนวนสำหรับแรงดันสูงนี้จะเดินทางลงไปยังขั้ว ไฟฟ้าที่มันสามารถข้ามช่องว่างและจากนั้นจะดำเนินการลงในบล็อกของเครื่องยนต์และสายดิน ปลั๊กก็จะต้องทนต่อความร้อนสูงและความดันภายในกระบอกสูบและต้องได้รับการออกแบบเพื่อให้ สารเติมแต่งน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาเกาะขณะเกิดการระเบิด

สปาร์คปลั๊กใช้แทรกเซรามิกเพื่อแยกแรงดันสูงที่ขั้วไฟฟ้าเพื่อให้มั่นใจว่าจุด ประกายไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในปลายของหัวเทียนเท่านั้น
บางคันต้องเสียบร้อน ประเภทของปลั๊กนี้ถูกออกแบบมาใส่กับเซรามิกที่มีพื้นที่ติดต่อกับส่วนโลหะขนาดเล็กของปลั๊ก ซึ่งจะช่วยลดการถ่ายเทความร้อนจากเซรามิกทำให้ร้อนและทำงานจึงเผาน้ำมันได้มากขึ้น ปลั๊กเย็นได้รับการออกแบบที่มีพื้นที่ติดต่อมากขึ้นเพื่อลดความร้อน

ความแตกต่างระหว่าง"ร้อน"และ"เย็น"หัวเทียนอยู่ในรูปของปลายเซรามิก

ผู้ผลิตรถยนต์จะเลือกหัวเทียน ตามอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับรถแต่ละคัน บางคันมีเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูงให้ความร้อนมาก จึงต้องใช้หัวเทียนที่เย็นกว่า หากได้รับหัวเทียนร้อนเกินไปก็อาจทำให้ลุกไหม้เชื้อเพลิงก่อนที่จะจุดประกายไฟ

ระบบไฟฟ้าแรงสูงกับการจุดระเบิด

ม้วนเป็นอุปกรณ์อย่างง่าย -- เป็นหลักหม้อแปลงไฟฟ้าแรงดันสูงขึ้นของขดลวดทั้งสองของสาย ขดลวดหนึ่งเรียกว่าขดลวดปฐมภูมิ ห่อรอบเป็นขดลวดทุติยภูมิ ขดลวดทุติยภูมิปกติได้หลายร้อยครั้งกว่าจะเปลี่ยนของลวดขดลวดหลัก

การไหลของกระแสจากแบตเตอรี่ผ่านขดลวดหลักของขดลวด

ขดลวดหลักในปัจจุบันก็สามารถหยุดชะงักโดยจุดเบรกเกอร์หรือด้วยอุปกรณ์โซลิดสเตสในการจุดระเบิดอิเล็กทรอนิกส์

ถ้าคุณคิดว่าม้วนดูเหมือนว่า แม่เหล็กไฟฟ้า กุญแจสำคัญในการทำงานของขดลวดเกิดขึ้นเมื่อวงจรไฟฟ้าถูกตัด สนามแม่เหล็กของขดลวดหลักยุบตัวอย่างรวดเร็ว ขดลวดทุติยภูมิที่ล้อมรอบสนามแม่เหล็กที่ทรงพลัง จะก่อให้เกิดกระแสขึ้นในขดลวดทุติยภูมิ ซึ่งมีแรงดันสูงมาก (ไม่เกิน 100,000 โวลต์) เนื่องจากมีจำนวนของขดลวดในขดลวดทุติยภูมิ

Camshafts วิธีการทำงาน
ถ้าคุณได้อ่านบทความ วิธีที่เครื่องยนต์ทำงาน คุณรู้เกี่ยวกับวาล์วที่ช่วยให้อากาศผสมเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์และไอเสียออกจากเครื่องยนต์ camshaft ใช้แฉก (cams ) ที่ผลักดันวาล์วเพื่อเปิดเป็นหมุน camshaft; สปริงที่กดวาล์วกลับไปยังตำแหน่งปิดของพวกเขา เป็นสิ่งที่สำคัญและอาจมีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์ด้วยความเร็วที่แตกต่างกัน

ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับ Camshaft
ชิ้นส่วนสำคัญของ camshaft ใด ๆ แฉก เป็น camshaft หมุน, แฉกเปิดและปิดการบริโภคและวาล์วไอเสียในเวลามีการเคลื่อนไหวของลูกสูบ มันจะเปิดออกที่มีความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างรูปร่างของ CAM และเครื่องยนต์มีประสิทธิภาพในช่วงความเร็วที่แตกต่างกัน

* เช่นเดียวกับลูกสูบเริ่มเคลื่อนลงในจังหวะท่อไอเสีย (เรียกว่าศูนย์ตายบนหรือ TDC), ลิ้นไอดีจะเปิด ลิ้นไอดีจะปิดขวาเป็นพื้นลูกสูบออก
* วาล์วไอเสียจะเปิดขวาเป็นพื้นลูกสูบออก (ด้านล่างที่เรียกว่าตายแล้วศูนย์หรือ BDC) ที่จังหวะสุดท้ายของการเผาไหม้และจะปิดเมื่อลูกสูบเผาไหม้เสร็จสมบูรณ์ไอเสียจะคายออกมา

การตั้งค่านี้จะทำงานได้ดีสำหรับเครื่องยนต์ตราบเท่าที่มันวิ่งด้วยความเร็วช้ามากนี้ แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณเพิ่ม RPM

เมื่อเพิ่มขึ้น RPM, 10 ถึง 20 รอบต่อนาทีสำหรับการกำหนดค่า camshaft ทำงานได้ไม่ดี ถ้าเครื่องยนต์กำลังทำงานที่ 4,000 รอบต่อนาทีิ วาล์วที่เปิดและปิด 2,000 ครั้งทุกนาทีหรือทุกครั้งที่ 33 ที่สอง ที่ ความเร็วเหล่านี้ลูกสูบมีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อให้อากาศ / ผสมลงในน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีการฉีดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อลิ้นไอดีจะเปิดและลูกสูบเริ่มทำงานจังหวะปริมาณอากาศที่ผสมน้ำมันเชื้อเพลิง ในการที่ไอดี โดยทุกครั้งที่ลูกสูบขึ้นมาถึงด้านล่างของกระบอกสูบ ปริมาณอากาศ / เชื้อเพลิงที่มีการเคลื่อนไหวที่ความเร็วสูง ลิ้นไอดีเปิดเล็กน้อยอีกต่อไปโมเมนตัมของอากาศที่เคลื่อนไหวเร็ว / เชื้อเพลิงยังคงถูกดูดเข้าไปในกระบอกสูบเมื่อลูกสูบเริ่มทำงานจังหวะการบีบอัด


ภาพเคลื่อนไหวด้านล่างแสดงวิธี CAM CAM ปกติและมีระยะเวลาการปฏิบัติวาล์วที่แตกต่างกัน รอบโปรดสังเกตว่าไอเสีย (วงกลมสีแดง) และไอดี (วงกลมสีฟ้า) ซ้อนทับกันมากขึ้นใน CAM ประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้รถยนต์ที่มีประเภทของลูกเบี้ยวนี้มีแนวโน้มที่จะทำงานหนักมาก

รูปแบบที่แตกต่างกันสอง CAM : คลิกปุ่มภายใต้เล่นปุ่มเพื่อสลับระหว่าง cams วงกลมแสดงระยะเวลาพักเปิดวาล์ว, สีฟ้าสำหรับไอดี สีแดงสำหรับไอเสีย วาล์วซ้อนทับกัน เน้นที่จุดเริ่มต้นของแต่ละภาพที่เคลื่อนไหว

การตั้งค่าของ Camshaft

Single Overhead Cam
การจัดเรียงนี้เป็นการแสดงให้เครื่องยนต์กับลูกเบี้ยวหนึ่งต่อหัว ดังนั้นถ้ามันเป็นแบบอินไลน์เครื่องยนต์ 6 สูบ 4 สูบหรือแบบอินไลน์จะมีลูกเบี้ยวหนึ่ง แต่ถ้ามันเป็น V - 6 หรือ V - 8, มันจะมีสอง cams (หนึ่งสำหรับแต่ละหัว)

CAM actuates แขนโยกที่กดลงบนวาล์ว สปริงวาล์วกลับไปยังตำแหน่งปิด สปริง เหล่านี้จะต้องแข็งแรงมากเพราะเครื่องยนต์ที่ความเร็วสูงวาล์วจะถูกผลักลง อย่างรวดเร็วและมีความจำเป็นต้องให้สปริงที่ทำให้วาล์วอยู่ติดกับแขนคนโยก ถ้าสปริงไม่แข็งแรงพอที่วาล์วอาจมาจากแขนโยกและ snap กลับ นี่คือสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ที่จะส่งผลให้เครื่องรวนในเวลาต่อมา

Double Overhead Cam
เครื่องยนต์แคมคู่เหนือศีรษะมีสอง cams ต่อหัว ดังนั้นเครื่องที่มีสอง cams, และเครื่องยนต์ V มีสี่ cams ค่าใช้จ่ายสองครั้งที่มีการใช้ในเครื่องยนต์ที่มีสี่หรือมากกว่าวาล์วต่อสูบ -- camshaft เดียวก็ไม่สามารถเต็มแฉก CAM พอที่จะดำเนินการทั้งหมดของวาล์วที่

เหตุผลหลักในการใช้ cams ค่าใช้จ่ายสองครั้งคือการอนุญาตให้มีการอัดฉีดมากขึ้น และวาล์วไอเสียสามารถไหลได้อย่างอิสระมากขึ้นเพราะมีช่องเปิดมากขึ้นเพื่อให้ไหลผ่าน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มกำลังวัตต์ของเครื่องยนต์

เครื่องยนต์ pushrod

CAM actuates แท่งยาวที่ไปขึ้นผ่านบล็อกและการเข้าหัวที่จะย้าย Rockers เหล่านี้แท่งยาวเพิ่มจำนวนมากไปยังระบบซึ่งเพิ่มความเร็วในการโหลดบนวาล์วสปริง ซึ่งสามารถจำกัด ความเร็วของเครื่องยนต์ pushrod; camshaft ค่าใช้จ่ายที่ลด pushrod จากระบบและเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ทำด้วยความเร็วสูงกว่าเครื่องยนต์ที่เป็นไปได้

Variable Valve Timing

มีกี่วิธีใหม่โดยที่ค่ายรถยนต์แตกต่างกันไประยะเวลาวาล์วเป็น ระบบหนึ่งที่ใช้ในบางระบบเรียกว่าฮอนด้า VTEC

ระบบ CAM ตัวแปรที่ใช้ในบางเฟอร์รารี่

VTEC (Variable Valve Timing และลิฟท์ Electronic Control) เป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์และทางกลในบางระบบที่ช่วยให้เครื่องยนต์ฮอนด้าจะมี หลาย camshafts VTEC เครื่องยนต์ได้รับสารลูกเบี้ยวพิเศษที่มีคันโยกเองซึ่ง โปรไฟล์ของลูกเบี้ยวนี้ช่วยให้ลิ้นไอดีเปิดนานกว่าโปรไฟล์แคมอื่น ๆ ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์ต่ำ, กลไกนี้ไม่เชื่อมต่อกับวาล์วใด ๆ ที่ความเร็วรอบเครื่องยนต์สูงลูกสูบล็อคคันโยกเป็นพิเศษในสอง Rockers ที่สองของการควบคุมวาล์วไอดี

บางคันใช้เวลาอุปกรณ์ที่ไม่ให้วาล์วเปิดนานขึ้น; แทนก็จะเปิดขึ้นในภายหลังและจะปิดได้ในภายหลัง นี้จะกระทำโดยการหมุน camshaft ไปข้างหน้าไม่กี่องศา ถ้าเปิดวาล์วไอดีตามปกติที่ 10 องศาก่อนศูนย์ตายบน (TDC) และปิดที่ 190 องศาหลังจาก TDC, ระยะเวลารวมเป็น 200 องศา เวลาเปิดและปิดสามารถย้ายโดยใช้กลไกลูกเบี้ยวที่หมุนไปข้างหน้าเล็กน้อยตามที่หมุน ดัง นั้นอาจเปิดวาล์วที่ 10 องศาหลังจาก TDC และปิดที่ 210 องศาหลังจาก TDC ปิดวาล์ว 20 องศาต่อมาเป็นเรื่องที่ดี แต่มันจะดีกว่าเพื่อให้สามารถเพิ่มระยะเวลาที่วาล์วไอดีเปิด

Ferrari มีระเบียบวิธีการทำเช่นนี้จริงๆ camshafts ในบางระบบ Ferrari ถูกตัดกับรูปแบบสามมิติที่แตกต่างกันไปตามความยาวกลีบแคมของ ที่ปลายด้านหนึ่งของกลีบแคมเป็นโปรไฟล์ CAM รูปร่างของลูกเบี้ยวอย่างราบรื่นผสมผสานทั้งสองรูปแบบด้วยกัน กลไกสามารถเลื่อน camshaft ทั้งด้านข้างเพื่อให้วาล์วประกอบส่วนต่างๆของลูกเบี้ยว เพลา ยังคงหมุนเหมือน camshaft ปกติ แต่โดยค่อยๆเลื่อน camshaft ด้านข้างเป็นความเร็วของเครื่องยนต์และเพิ่มระยะเวลาวาล์วสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ

ผู้ผลิตเครื่องยนต์หลายการทดสอบกับระบบที่จะช่วยให้ความผันแปรไม่สิ้นสุดในระยะเวลาวาล์ว สมมติ ว่าแต่ละวาล์วมีขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าที่มันว่าสามารถเปิดและปิดวาล์วที่ใช้ควบ คุมคอมพิวเตอร์แทนที่จะใช้ camshaft กับชนิดของระบบนี้คุณจะได้รับสมรรถนะของเครื่องยนต์สูงสุดที่ทุก RPM บางสิ่งบางอย่างเพื่อหวังว่าจะได้ในอนาคต

Suzuki Let’s น่าใช้หรือเปล่า

Suzuki Let’s น่าใช้หรือเปล่า


เปิดประเดิมศักราชใหม่ ปี 2013 ซูซูกิ พร้อมส่ง 2 นวัตกรรมใหม่ล่าสุด เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคอย่างแท้จริง และ ซูซูกิพร้อมที่จะให้คุณสนุกไปกับวิถีชีวิตในแบบ “อีโค่” ที่สุดแห่งนวัตกรรมเพื่อโลกยิ้มได้อีกครั้ง กับการตอกย้ำ “แนวคิดรักษ์โลก” ที่กล้ากว่าใคร และนี่แหละคือแนวทางที่ ซูซูกิ อยากบอกไปยังทุกคนบนโลกใบนี้เพื่อร่วมมือร่วมใจกับ ซูซูกิ

ซูซูกิ ตอกย้ำ กระแสอีโค่ เทรนด์ อีกครั้ง พร้อมขอเชิญชวนคนรุ่นใหม่ คนที่รักความประหยัดและรักษ์โลกทุกคนร่วมอัพเทรนด์ไปกับ “ปฏิบัติการ Suzuki Let’s Goes Green” เพื่อให้แนวคิด Thinking of the World เข้าถึงประชาชนทั่วไปในวงกว้างอย่างชัดเจน ครั้งนี้ทาง ซูซูกิ จึงขอเชิญชวนคนไทยทุกคน ร่วมตอกย้ำ กระแส คูล เดอะเวิร์ล & ฮีล เดอะเวิร์ล Vol. 2 อีกระลอก ซึ่งตรงกับแนวคิดหลักของผลิตภัณฑ์ใหม่ของทาง ซูซูกิ ทุกรุ่น ที่มั่นใจได้ว่าเราทุกคนสามารถจะช่วยโลกใบนี้ให้ผ่านพ้น “วิกฤตสิ่งแวดล้อม” ไปได้ด้วยมือและใจของเราทุกคน



ถึงเวลาแล้ว ที่เราทุกคน จะหันมาเอาใจใส่ ห่วงใย  และร่วมดูแลโลกใบนี้ อย่างจริงจัง อย่าปล่อยให้โลกถูกทำร้ายและทำลายลงไปทุกขณะ ซูซูกิ ขอเชิญชวนคนรัก ECO มาร่วมอัพเดท อัพเทรนด์ อัพทุกการขับขี่ของคุณเตรียมเข้าสู่เส้นทางสีเขียว เส้นทางที่ซูซูกิและชาวสองล้อ ร่วมสร้างเทรนด์ใหม่ๆ ในการขับขี่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างที่ไม่เคยมีมอเตอร์ไซค์คันไหนค่ายไหนตระหนักถึงมากเช่นนี้ และมุ่งให้ความสำคัญกับ “โลกใบนี้” มากเท่าเรา ก้าวสู่ อีกระดับกับมาตรฐานใหม่ของการ “รักษ์โลก” Suzuki Let’s Goes Green พลังอีโค่สุดสะอาด ที่มาพร้อมความแรง สมรรถนะที่ทรงพลังของเครื่องยนต์ เหนือกว่าด้วยความประหยัด ความคุ้มค่า ขี่ง่าย ซูซูกิ เน็กซ์ ที่สุดแห่งความประหยัดที่มาพร้อมความแรง ซูซูกิ เล็ทส์ ที่สุดของความมันส์ สนุก แสบ ซ่าสส์

ซูซูกิ เล็ทส์ พร้อมสีสดใส สีชมพู-ดำ (GUS) สีน้ำเงิน-ขาว (HWA) สีเขียว-ขาว (JSJ) สีแดง-ดำ (JTU) และ สีแดง-เทา (AJQ) ในราคาเปิดตัวเพียง 41,900 บาท  ซื้อวันนี้!! รับหมวกกันน็อค ซูซูกิ เล็ทส์ พิเศษเฉพาะ 5,000 คันแรกเท่านั้น ตั้งแต่ 1 ก.พ. - 31 มี.ค. 2556 หรือจนกว่าสินค้าจะหมด

ซูซูกิ เน็กซ์ จัดมาให้พิเศษ 2 แบบ 2 สไตล์ แบบล้อซี่ลวด สนุกไปกับ 3 สีสดใส สีน้ำเงิน/ขาว (HWA), สีแดง/ขาว(JWP) และ สีดำ (YVU) กับราคาเบาๆ 38,900 บาท ส่วนในแบบล้อแม็ก กับ 5 สีสุดแสบ อาทิ สีเขียว/ขาว (AFR), สีน้ำเงิน/ขาว (HWA), สีแดง/ขาว (JWP), สีชมพู/ขาว (AGF) และ สีดำ (YVU) สนุกไปกับล้อแม็ก ในราคา 39,900 บาท พบซูซูกิ เล็ทส์ และซูซูกิ เน็กซ์ ที่โชว์รูมซูซูกิ วันนี้

ที่มา http://www.auto-thailand.com